
กระทรวงอุตสาหกรรมในขณะนั้นจึงเปิดให้สัมปทานกับเอกชนในการสำรวจและขุดเจาะ ซึ่งผู้รับสัมปทานเป็นบริษัทต่างชาติทั้งหมด เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่มีบริษัทของคนไทยที่มีศักยภาพเพียงพอ อย่างไรก็ตามเอกชนผู้ได้รับสัมปทานไม่ต้องการลงทุนเครือข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลและเห็นว่าอาจไม่คุ้มค่าการลงทุน เนื่องจากปริมาณความต้องการในขณะนั้นยังมีไม่มากนัก ปตท. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจก่อตั้งใหม่จึงต้องเข้ามาดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการริเริ่มลงทุนวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเอราวัณในอ่าวไทย ซึ่งบริษัทยูโนแคลเป็นผู้ได้รับสัมปทานมายังชาวฝั่งมาบตาพุด จังหวัดระยอง ระยะทาง 415 กิโลเมตร แล้วเสร็จ และเปิดดำเนินการเมื่อปี 2524 พร้อมกับรับซื้อก๊าซธรรมชาติจากผู้รับสัมปทานที่ปากหลุม
การลงทุนท่อส่งก๊าซฯ เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เพราะในห้วงเวลาเกือบ 30 ปีก่อนนั้น ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ป้อนให้กับโรงไฟฟ้าบางปะกงและโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ปริมาณความต้องการเพียง 60 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทั้งที่ท่อส่งก๊าซฯ มีศักยภาพรองรับได้ถึง 850 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ภายใน 15 ปี ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติก็เพิ่มสูงขึ้นจนต้องวางท่อก๊าซฯ เพิ่มอีกหนึ่งเส้นสร้างเสร็จในปี 2539 พร้อมกับการขยายตัวของการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่อยู่ในแนวท่อส่งก๊าซฯ บนบก และต้องวางท่อก๊าซฯ เส้นที่สามเพิ่มขึ้นอีกสร้างเสร็จในปี 2550
ขณะเดียวกันยังต้องโครงข่ายท่อส่งก๊าซฯ บนบกเพื่อป้อนให้กับโรงไฟฟ้าและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งใช้เงินลงทุนมหาศาลโดยแนวท่อส่งก๊าซฯ ส่วนใหญ่จะขนานไปกับเส้นทางหลวงแผ่นดินเป็นหลัก โดยท่อบนบกจะมีความยาว 1,402 กิโลเมตร ประกอบด้วยระบบท่อฝั่งตะวันออกจากโรงแยกก๊าซฯ จังหวัดระยอง ไปยังโรงไฟฟ้าบางปะกง พระนครใต้วังน้อย และแก่งคอย ส่วนระบบท่อฝั่งตะวันตกคือระบบเชื่อมต่อจากชายแดนไทยกับพม่า มายังโรงไฟฟ้าราชบุรี สำหรับท่อในทะเลมีความยาว 2,096 กิโลเมตร เป็นระบบท่อที่ต่อจากแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมาขึ้นฝั่งที่จังหวัดระยอง และเชื่อมต่อที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 1 2 3 และ 5 จังหวัดระยอง และระบบท่อจากแหล่งเอราวัณ มายังโรงไฟฟ้าขนอบ อำเภอขนอบ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ที่มา : khaoraths.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น